เห็นกลีบดอกสีขาวราวน้ำนมที่ให้สัมผัสนุ่มนวลราวกับผิวกายหญิงสาวของดอกพุดซ้อนแล้ว
ก็ชวนให้นึกถึงบทเห่ครวญของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ที่ว่า
“ขาวสุดพุดซ้อนแซม
เนื้อแอร่มอร่ามเหลือง
โฉมอ่ากว่าทั้งเมือง หนแห่งใดไม่เหมือนเลย…”
ดอกพุดซ้อนนี้ถ้าเปรียบเป็นสตรีก็คงเป็นสาวผู้มีท่วงท่ากิริยาอ่อนหวานละมุนละไม
ยิ่งพิศไปนานๆ ก็ยิ่งตรึงใจนัก มิใช่หญิงงามที่มีเสน่ห์ทางเพศจัดจ้านร้อนแรง
สะดุดตาเพศตรงข้ามแต่แรกเห็น เพราะดอกพุดซ้อนนั้นสีสันเรียบๆ
แต่แฝงเสน่ห์ลึกล้ำตรงกลีบดอกซ้อนกันราวกับผืนผ้าจับระบายหลายชั้น ทั้งยังส่งกลิ่นหวานละมุนที่ค่อยทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ในยามค่ำ
ชื่อการ์ดีเนียนี้ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ Alexander Garden แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ในยุคศตวรรษที่
18 เล่ากันว่าในสมัยนั้นGardenต้องอพยพจากประเทศสก็อตแลนด์ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
ไปยังดินแดนใหม่คือสหรัฐอเมริกา จึงต้องอยู่ห่างไกลจากแวดวงวิทยาศาสตร์ยุโรป
ในช่วงเวลาที่ตัวเขาเองก็กำลังกระหายชื่อเสียงในวงวิชาการ Garden จึงมักติดต่อสมาคมกับพวกนักวิทยาศาสตร์ยุโรปอยู่เนืองๆ ซึ่งก็รวมถึง John
Ellis นักธุรกิจและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษผู้หลงใหลในพรรณไม้ต่างๆ
Garden มักส่งตัวอย่างพันธุ์พืชและสัตว์แปลกๆ
จากอเมริกาไปให้ Ellis ในกรุงลอนดอน ซึ่ง Ellis ก็จะส่งต่อไปให้ Carl Linnaeus ในประเทศสวีเดน Linnaeus
ผู้นี้ก็คือปรมาจารย์ทางพฤกษศาสตร์ที่ได้รับการขนานนามว่า “King
of Botany” เป็นผู้ทำให้ระบบการตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
เป็นภาษาละตินกลายเป็นที่ยอมรับและเป็นแบบแผนปฏิบัติสืบมาถึงทุกวันนี้ Ellis
นั้นเห็นว่า Garden ได้สร้างคุณูปการไว้แก่แวดวงพฤกษศาสตร์อย่างมาก
จึงเสนอให้ตั้งชื่อพันธุ์ไม้สักอย่างเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แต่ Linnaeus กลับไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะถูกครหาว่าเลือกเอาแต่ชื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงมาตั้งเป็นชื่อพันธุ์ไม้
แต่นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้นี้ก็ยังไม่ละความพยายาม
กระทั่งเมื่อได้ไปเยี่ยมชมสวนแห่งหนึ่งนอกกรุงลอนดอน
และได้เห็นดอกไม้แปลกหายากที่ถูกค้นพบในแถบชนบทของประเทศแอฟริกาใต้
(ภายหลังกลับพบว่าจริงๆ แล้วดอกไม้ที่ว่ามาจากประเทศจีน
ไม่ใช่แอฟริกาใต้อย่างที่เคยเข้าใจกันแต่แรก) จึงได้เขียนจดหมายไปหา Linnaeus
ขอร้องว่าให้ตั้งชื่อดอกไม้ชนิดนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ Garden
หลังจากที่เคยพยายามเสนอชื่อพฤกษศาสตร์ไปแล้วก่อนหน้านี้หลายชื่อแต่ไม่ประสบผล
ด้าน Linnaeus นั้นแม้ไม่ค่อยเต็มใจนัก
เพราะ Garden เองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในการค้นพบดอกไม้ชนิดนี้
แต่ก็จำยอมตามคำขอ โดยมีข้อแม้ว่า Ellis ต้องไปตีพิมพ์ชื่อพฤกษศาสตร์ดังกล่าวเอาเอง
ส่วนตัวเขาจะอ้างถึงชื่อใหม่นี้ในหนังสือ “The King Linnaeus Bible,
Species Plantarum” ฉบับใหม่ที่จะตีพิมพ์ขึ้นทีหลัง
นัยว่าเพื่อเลี่ยงการตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนั่นเอง สรุปว่าตัว Alexander
Garden ซึ่งเป็นที่มาของชื่อการ์ดีเนียนั้นกลับไม่เคยเห็นดอกไม้นี้เลยจนกระทั่ง
Ellis ส่งไปให้เขา 2 ต้นในภายหลัง
แต่ก็ตายไปทั้งคู่ จนเจ้าตัวถึงกับเชื่อว่าเป็นลางร้ายที่บอกเหตุว่าชื่อนี้คงไม่โด่งดังเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป
แต่ต่อมาภายหลังชื่อการ์ดีเนียนี้ก็ใช้เรียกกันแพร่หลายทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
พุดซ้อนหรือการ์ดีเนียนี้ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าจริงๆ
แล้วมีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้และญี่ปุ่น ชาวจีนและญี่ปุ่นถือเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและความอ่อนโยนละเมียดละไมของหญิงสาว
นับเป็นดอกไม้มีค่าอีกชนิดเพราะให้กลิ่นหอมหวาน ทั้งยังนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
โดยเฉพาะทางการแพทย์แผนโบราณของจีน
ตำนานดอกพุดซ้อนในภาคอีสานของไทยเรา
ที่ เมืองเชียงลม เชียงลา สมัยโบราณ เจ้าเมืองมีธิดาที่เลอโฉม
และเปี่ยมด้วยเมตตา มีคุณธรรมประจำใจ ชื่อนางอินทวา
นางมีความเมตตาต่อสัตว์เลี้ยงทุกชนิด
วันหนึ่ง
มีลูกจระเข้พลัดหลงเข้ามาบริเวณสระน้ำใกล้อุทยานท้ายวัง
นางจึงเอามาเลี้ยงไว้ในตุ่มน้ำ จนจระเข้เชื่อง และมีความผูกพันกับเจ้าหญิงมาก
เมื่อจระเข้โตขึ้นนางจึงนำมาปล่อยไว้ในสระน้ำข้างอุทยาน
จนนางมีอายุ ๑๖ ปี จระเข้ก็เติบใหญ่ทุกวันนางจะมานั่งริมสระน้ำเรียกหาจระเข้เพื่อให้อาหารบางครั้งก็นั่งบนหลังจระเข้ไปเด็ดดอกบัวในสระ
บางครั้งจระเข้ก็พานางนั่งบนหลังมันเพื่ออาบน้ำชมปลา และความงามของดอกบัว
เย็นวันหนึ่ง
นางอาบน้ำในสระและขี่หลังจระเข้ไปกลางสระเหมือนเคย เผอิญหวีของนางตกไปในน้ำ
นางพยายามคว้าหวี เลยเสียหลักตกลงไปในสระ จระเข้เกรงนางจะเป็นอันตรายจึงเข้าช่วย
โดยใช้ปากคาบไว้ แต่เนื่องจากจระเข้มีขากรรไกปากด้านบนเพียงด้านเดียว
เมื่อคาบอะไรไว้แล้วจะต้องกลืนลงท้องก่อน
จึงสามารถอ้าปากได้อีก
จระเข้จึงได้กลืนร่างของนางเข้าไปแล้วเห็นว่าเป็นความผิดกลัวอาญาแผ่นดิน
จึงหนีออกจากสระในเขตอุทยานเข้าไปในป่าใหญ่ พบหนองน้ำขนาดใหญ่จึงลงไปอาศัยซ่อนตัว
ฝ่ายเจ้าเมืองเห็นนางหายไป
จึงตามไปดูที่สระเห็นรอยเท้าจระเข้ขึ้นจากสระ
หายไปในป่าใหญ่จึงให้เหล่าเสนาอำมาตย์แกะรอยเท้าจระเข้ไป
จนถึงหนองน้ำใหญ่กลางป่าทึบ มีโขดหินสลับซับซ้อน
ความลึกของหนองน้ำประมาณสองช่วงลำไม้ไผ่ และมีปลาชุกชุมมาก
ก็แน่ใจว่าจระเข้หลบซ่อนตัวอยู่ในหนองน้ำนี้
เจ้าเมืองจึงสั่งให้ไพร่พลปิดล้อมไว้
แล้วป่าวประกาศหาหมอจระเข้ฝีมือดีมาล่าหมอจระเข้สองคนแรกเป็นชายต้องจบชีวิตลงโดยถูกพญากุมภีล์กินเป็นอาหาร ส่วนหมอจระเข้คนที่สามเป็๋นหญิง
ใช้ปัญญาและไหวพริบในการปราบจระเข้ โดยได้วทำฉมวกเหล็กกางเขน
มีตะขอค้ำเป็นเหล็กง่าม แม้จะถูกจระเข้งับก็ยังไม่ถึงตัว เพราะจะถูกเหล็กค้ำยันไว้
และใช้เชือกขนาดใหญ่ ปลายด้านหนึ่งผูกกับแกนเหล็ก
อีกด้านหนึ่งผูกโยงกับต้นประดู่ใหญ่ ให้เสนาอำมาตย์ช่วยกันดึง
เมื่อหมอจระเข้สาว
ขึ้นไปนั่งบนแะพรไม้ไผ่บริกรรมคาถาอาคมเรียกจระเข้ขึ้นมา ก็เหยีบแพไม้ไผ่ให้เอียงแล้วอ้าปากหวังบจะงับเหยื่อ
หมอจระเข้สาวจึงพุ่งฉมวกเข้าไปในปากจระเข้
เมื่อจระเข้งับก็ถูกฉมวกแหลมปักติดแน่นทั้งปากบน และปากล่าง ไม่สามารถอ้าปากได้อีก
แล้วบรรดาเหล่าเสนาอำมาตย์ก็ช่วยกันสาวเชือกลากจระเข้ขึ้นฝั่ง
พอจระเข้เห็นเจ้าเมืองก็รู้สึกสำนึกในความผิด
ผงกหัวขึ้นลงเป็นการแสดงความเคารพ พวกเสนาอำมาตย์ก็ช่วยกันทุบตีจนจระเข้ตาย
พบศพเจ้าหญิงนางอินทวาถูกย่อยไปบางส่วนเหลือของใช้ของนางเช่นก้องแขน (กำไลข้อมือ)
สร้อยพระศอ ผ้าซิ่น เจ้าเมืองได้เห็นก็เสียใจมาก
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจึงประกาศตั้งชื่อหนองน้ำดังกล่าวว่า
วังสามหมอ อัฐิของเจ้าหญิงนางอินถวา
ได้นำไปฝังไว้ข้างวัง ต่อมาบริเวณที่ฝังศพ
ได้เกิดมีต้นไม้ชนิดหนึ่งออกดอกสีขาวสวยงาม มีกลิ่นหอม
ชาวเมืองเรียกกดอกไม้นี้ตามชื่อของเจ้าหญิงว่า ดอกอินถวา
หญิงชาวบ้านนิยมใช้ดอกอินถวามาทัดหู หรือนำไปบูชาพระ ดอกอินถวาได้แพร่พันธุ์ไปอย่างกว้างขวางทั่วอีสาน
ภาคกลางและภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศ และเรียกดอกชนิดนี้ว่า ดอกพุดซ้อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น