วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555


ตำนานดอกแพนซี่ …. ดอกแห่งความคิดรำพันถึงความรัก

                ดอกแพนซี่ (Pansy) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Viola cornuta อยู่ในตระกูลเดียวกับดอกไวโอเล็ต ชื่อดอกแพนซี่มาจากคำว่า Pensee (ป็อง-เซ่) ซึ่งเป็นชื่อเรียกดอกไม้ชนิดนี้ในภาษาฝรั่งเศส คำว่า pensee แปลว่า การคิดคำนึง หรือ ความคิด มีผู้สันนิษฐานว่าชื่อนี้มาจากรูปลักษณะของดอกไม้ที่ดูเหมือนหน้าคนที่กำลังครุ่นคิด
"แพนซี่" หลากสีหลายชนิด ซึ่งแพนซี่แต่ละสีแต่ละแบบ ก็มีชื่อเฉพาะของตนเอง เช่น สีม่วงและคราม ชื่อว่า 'Blue & Purple Rain' Viola, สีเหลืองไส้ตรงกลาง (เขาเรียกว่า 'ตา') ออกม่วงเข้ม ชื่อว่า 'Fizzy Lemonberry', สีเหลืองทั้งดอก ชื่อว่า'Karma Yellow', สีม่วงอ่อน 'ตา' ม่วงแก่ ชื่อว่า 'Maxim Marina', สีส้มทั้งดอก ชื่อว่า 'Padpardja', สีขาวประกายเงินเหลือบม่วงอ่อน ชื่อว่า 'Baby Blue', สีม่วง 'ตา' เหลือง ชื่อว่า 'Lemon and Plum Picotee'
                แพนซี่เป็นไม้ดอกโบราณของอังกฤษ เริ่มปลูกกันมาตั้งแต่ยุค 1830s ลักษณะเด่นของดอกไม้ชนิดนี้คือ เป็นดอกไม้ที่มี "หน้า" ซึ่งก็คือรูปดอกของแพนซี่นั่นเอง แถมยังมีสีสันสวยงามมากมาย ชื่อของดอกแพนซี่ มีที่มาจากคำในภาษาฝรั่งเศสว่าpensée แปลว่า "นึก, คิด" (thought) ว่ากันว่า รูปดอกหรือ "หน้า" ของดอกแพนซี่ พิศดูดีๆ ละม้ายกับใบหน้าคนกำลังใช้ความคิดอยู่ (คนเสนอความคิดนี้ คงเป็นคนช่างจินตนาการไม่น้อย) ... นอกจากนี้ ความสวยงามน่ารักของดอกแพนซี่ ยังทำให้เกิดความสุขใจ และเป็นสัญลักษณ์ของความรื่นเริงใจอีกด้วย...
                แพนซี่เป็นดอกไม้ในตระกูล "ไวโอลา" (viola) เช่นเดียวกับไวโอเล็ต ไวโอลาเป็นตระกูลดอกไม้ที่ใหญ่โตมาก มีดอกไม้ในวงศ์วานกว่า 500 ชนิด แต่ "แพนซี่" เป็นดอกไม้ที่ใครๆ มักจะเอ็นดูด้วยหน้าตาของมันนั่นเอง ... 
                ดอกแพนซี่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และรับประทานได้ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะปลูกไว้ในสวน ทั้งดอกและใบแพนซี่ อุดมไปด้วยวิตามินเอ และ ซี ดอกแพนซี่สามารถนำไปทำเป็นน้ำเชื่อมก็ได้ เสริมรสชาติให้น้ำผึ้ง โรยหน้าสลัดก็ดี ทั้งใบและดอกแพนซี่ นำไปตกแต่งหน้าสลัดผลไม้ หรือครีมซุปก็เข้าท่า บางตำราก็นำดอกแพนซี่ไปเป็นสีธรรมชาติสำหรับย้อมผ้าอีกด้วย .. 
                ดอกของแพนซี่เป็นดอกเดี่ยว มีกลีบดอกห้ากลีบกลมมน รูปแบบของสีดอกแพนซี่มีถึงสามแบบ แบบแรกคือ กลีบดอกสีเดียวทั้งดอก สีสดเจิดจ้าสวยสดน่ามอง เช่น สีเหลือง สีน้ำเงิน แบบที่สองคือ กลีบดอกสีเดียว แต่มีเส้นสีดำบางๆ แผ่รัศมีออกมาจากใจกลางดอก เส้นเหล่านี้เรียกว่า "รอยดินสอ" (Penciling) ซึ่งมีเหมือนกับเส้นใน "ไวโอลา" นั่นเอง แบบที่สาม ซึ่งน่าจะเป็นที่คุ้นตากันมากที่สุด คือกลีบดอกเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ใจกลางดอกจะเป็นสีเข้ม ที่เรียกกันว่า "หน้า" ("face")
                แพนซี่บางชนิดมีกลิ่นหอมอ่อนจางคล้ายน้ำหอมบางชนิด เมื่อได้กลิ่นหอมนี้แล้วจะจรุงใจจนเป็นที่จดจำได้นาน มักจะได้กลิ่นหอมในช่วงเช้าตรู่หรือย่ำค่ำ แพนซี่ที่มีกลิ่นหอมมาก คือสีเหลืองและสีน้ำเงิน ...
                แพนซี่ ... ดอกไม้ดอกน้อยๆ ที่กลีบนุ่มเนียนดั่งกำมะหยี่ที่คนอังกฤษมักจะชอบปลูกกันตามริมทางเดินในสวน มีมาตั้งแต่สมัยวิคตอเรียน โดยมีที่มาจาก "แพนซี่ป่า" (Wild Pansy) ที่เชคสเปียร์กล่าวถึงในบทกวีว่า "Love-in-idleness" ดอกไม้ที่น่ารักนี้ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมี "หน้ายิ้ม" และยังร่ำลือกันมาแต่โบราณว่าเป็น "ยาเสน่ห์" (Love potion) อันเป็นที่มาของการที่ตัวละครชื่อTitania ตกหลุมรักกับลาใน A Midsummer Night's Dream
                แพนซี่ป่าเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนและเด็กๆ ในชนบทอังกฤษมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น เรียกขานกันด้วยชื่อหลายชื่อ เช่น Two-faces-under-the-sun, Face-and-hood และ Tickle-my-fancy. ยังเรียกกันว่า Herb Trinity ด้วย เพราะความที่ดอกแพนซี่มักจะมีสามสีในดอกเดียวนั่นเอง แต่ในบรรดาชื่อที่เรียกขานกันทั้งหมด ชื่ออันเป็นที่รู้จักมากที่สุด (ของคนอังกฤษสมัยก่อน) คือ'Heart's-ease', for it was believed that by carrying the flower about with you, you would ensure the love of your sweetheart. "ดอกไม้สบายใจ" เพราะเชื่อกันว่า เมื่อมีดอกแพนซี่ติดตัวไปไหนๆ ก็จะสุขใจว่ามีหัวใจรักของคนที่รักคุณอยู่ใกล้ๆ เสมอ

                หลายคนนำความหมายของคำนี้มาโยงเข้ากับเรื่องของความรัก ทำให้เป็นที่เข้าใจกันว่าชื่อดอก pensee หรือ แพนซี่นี้หมายถึง ความคิดคนึงเกี่ยวกับความรัก ในอดีตดอกแพนซี่จึงมีความสำคัญในวันวาเลนไทน์เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความรัก คู่รักนิยมมอบดอกแพนซี่ให้กันในวันนี้เพื่อบอกความในใจ
                นอกจากนี้ ในสมัยโบราณยังมีการใช้แพนซี่เป็นส่วนผสมของยาเสน่ห์เพราะเชื่อกันว่าแพนซี่มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นความรักความเสน่หา บางคนเชื่อว่ากลีบที่เป็นรูปหัวใจของดอกแพนซี่สามารถเยียวยาอาการอกหักหัวใจสลายได้อีกด้วย
                ในเรื่อง A Midsummer Night's Dream (ฝันกลางฤดูร้อน) ของ William Shakespeare ก็ได้กล่าวถึงพลังวิเศษเกี่ยวกับความรักของดอกแพนซี่ไว้ว่า หากน้ำจากดอกแพนซี่หยดลงบนดวงตาที่หลับสนิทของผู้ใดก็ตาม จะทำให้คนผู้นั้นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาต้องตกหลุมรักบุคคลแรกที่เขาเห็นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

มีตำนานและนิทานหลายเรื่องที่กล่าวถึงดอกแพนซี่ไว้ เรื่องหนึ่งเล่าว่าแต่เดิมดอกแพนซี่มีสีขาวบริสุทธิ์ แต่ต่อมาโดนลูกศรของคิวปิด (Cupid) เข้าก็เลยกลายเป็นสีม่วง
              อีกเรื่องหนึ่งมาจากตำนานกรีกเป็นเรื่องของเจ้าชายแอตทิส (Attis) แห่งฟรีเจีย (Phrygia) เทพีไซบีลีหรือซิบิลี (Cybele) หลงรักเจ้าชายหนุ่มผู้นี้อย่างหัวปักหัวปำ แต่ทว่าแอตทิสกลับไปมีใจให้หญิงอื่น (บางที่ก็ว่านางชื่อ Atta บางที่ก็ว่าเป็นนางพรายน้ำชื่อ Sagaritis) ด้วยความริษยาและพิโรธอย่างที่สุด พระนางจึงลงทัณฑ์แอตทิสให้เสียสติและปลิดชีพเขาในที่สุด บางที่เล่าว่าแอตทิสถูกทำให้เป็นบ้าจนถึงกับตอนตัวเองและฆ่าตัวตาย ดอกแพนซี่เกิดมาจากเลือดของเขาที่หลั่งลงดิน 
              นิทานอีกเรื่องหนึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านของเยอรมัน เล่าว่า เมื่อครั้งอดีตกาล ดอกแพนซี่เคยมีกลิ่นหอมจรุงใจโชยไปไกลจนทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างพากันเดินทางจากต่างบ้านต่างเมืองเพื่อมาเชยชมและสัมผัสกลิ่นหอมนี้อย่างใกล้ชิด แต่การที่ผู้คนจำนวนมากมุ่งมายังที่แห่งนี้ ทำให้ต้นหญ้าและพืชพรรณที่อยู่ข้างเคียงโดนเหยียบย่ำแหลกลาญ วัว แพะ แกะ ทั้งหลายเริ่มไม่มีหญ้าจะกิน ดอกแพนซี่รู้สึกเสียใจจึงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงเสกให้กลิ่นหอมจัดของดอกแพนซี่หายไป แต่ได้ประทานความงดงามมาให้แทน เป็นดอกแพนซี่ที่เราเห็นอยู่อย่างทุกวันนี้..



2 ความคิดเห็น: